ไข่มุกอันดามัน สวรรค์เมืองใต้ หาดทรายสีทอง สองวีรสตรี บารมีหลวงพ่อแช่ม
จากบลอกตอนก่อนตอนนี้ก็เป็นวันที่ 3 ของทริปภาคใต้เที่ยวเมืองภูเก็ตเต็มวัน
วันที่ 1 กรุงเทพ(ราชบุรี)-ทับสะแก
วันที่ 2 ปราณบุรี-ทับหลี-ตะกั่วป่า
วันที่ 3 ภูเก็ต
วันที่ 4 พังงา-กระบี่
วันที่ 5 กระบี่-นครศรีธรรมราช
วันที่ 6 สุราษฎ์ธานี-ชุมพร
วันที่ 7 กลับถึงกรุงเทพก่อนเที่ยง
ภูเก็ตเจ้าของฉายาไข่มุกอันดามัน ชื่อนี้มาจากคำว่า “ภูเก็จ” อันแปลว่าเมืองแก้ว หรือตรงกับคำว่ามณิครัมของชาวทมิฬแปลว่าเมืองทับทิม ชนเผ่าดั้งเดิมของคนแถบนี้คือชาวซาไกและชาวเล ก่อนที่ชาวเซลังจากมอญมาร่วมด้วยทีหลัง แต่เดิมทีเมืองนี้ใช้เป็นเส้นทางผ่านของนักเดินเรือค้าขายของจีน-อินเดียผ่านแหลมมลายู โดยมีหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดจากบันทึกการเดินเรือของ คลอดิอุส ปโตเลมี เมื่อประมาณปี พ.ศ.700 กล่าวถึงการเดินทางผ่านแหลมสุวรรณภูมิไปยังแหลมมลายูโดยผ่านแหลมจังซีลอนหรือเกาะภูเก็ตนั่นเอง (โดยสมัยนั้นเขาว่าเป็นแหลมที่ติดกับแผ่นดินใหญ่ แต่เกิดน้ำกัดเซาะบริเวณช่องปากพระจนขาดออกมาเป็นเกาะดังปัจจุบัน
ส่วนทางด้านประวัติศาสตร์ไทยที่นี่มีบันทึกเป็นเมืองนักษัตริย์บริวารของอาณาจักรตามพรลิงก์นครศรีธรรมราช ซึ่งจัดให้เมืองตะกั่วป่า-ถลางเป็นทิศของปีจอ สถานการณ์ทางการเมืองก็ลุ่มๆดอนๆมาเรื่อย จะมีอีกทีก็ตอนโดนอยุธยาตีแตกแล้วรวบรวมอาณาจักรใหญ่ สมัยนั้นเริ่มมีชาวต่างชาติเข้ามาในไทย โดยชาติแรกที่เข้ามาคือชาติโปรตุเกสที่ได้เข้ามายังเมืองภูเก็ตในฐานะมิชชั่นนารี อยู่เรื่อยมาจนผสมผสานกันเป็นชาวภูเก็ตในปัจจุบัน
เศรษฐกิจอันมั่งคั่งของเมืองนี้ในสมัยก่อนคือแร่ดีบุก ประเด็นเรื่องแร่ดีบุกนี้ก็มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาทั้งชาวโปรตุเกส ฮอลันดา และฝรั่งเศส แต่ที่มีสืบเชื้อสายมาจนถึงปัจจุบันก็สมัยธนบุรี มีพ่อค้าชาวอังกฤษชื่อ ฟรานซิส ไลท์ จากบริษัทอินเดียตะวันออก เดินทางมาค้าขายที่เมืองถลางในปีพ.ศ. 2314-2315 และได้แต่งงานกับหญิงสาวลูกครึ่งชาวถลาง-โปรตุเกสชื่อ มาร์ตินา โรเซลล์ ได้ตั้งรกรากปักฐานที่นี่และได้ขออนุญาตผูกขาดแร่ดีบุกที่เมืองถลางที่บ้านท่าเรือ ด้วยความที่สมัยนั้นเศรษฐกิจย่ำแย่ และต้องการเงินมาตั้งตัวอีกครั้งจากกิจการแร่ดีบุกจึงได้รับอนุญาต โดยมีพระยาพิมลขันเจ้าเมืองถลางสมัยนั้นมากำกับดูแล สร้างความมั่งคั่งให้ราชอาณาจักรจนได้รับความดีความชอบรัวๆ ถึงขนาดสมัย ร.4 เหมาเมืองสถาปนาให้ภูเก็ตเป็นที่สะสมสมบัติส่วนตัวแต่เพียงผู้เดียว ด้วยความมั่งคั่งก็ดึงดูดนักธุรกิจชาวจีนมาทำการค้าขายที่นี่อย่างอึกทึกจนกลายเป็นผู้คนในเมืองภูเก็ตปัจจุบัน
ประวัติต่างๆนอกจากนั้นก็เป็นเมืองขึ้นตามประวัติศาสตร์หลักเรื่อยมา อยุธยา กรุงธนบุรี จะมีส่วนที่โดดเด่นอีกทีก็สมัยรัตนโกสินทร์ศึกสงคราม 9 ทัพสมัยพระเจ้าปดุงให้ยี่หวุ่นยกทัพ 3,000 คนมาตีทางภาคใต้ทั้งเมืองตะกั่วป่า และเมืองถลาง จนเกิดวีรกรรมของคุณหญิงจัน (ภรรยาของพระยาพิมลขันเจ้าเมืองถลาง) และคุณมุกผู้เป็นน้องสาว รวบรวมกำลังเข้าสู้กับพม่าจนได้รับชัยชนะในวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2328 ร.1 เห็นความดีความชอบจึงแต่งตั้งให้ทั้งสองเป็นท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร ประวัติเล่าเท่านี้พอ แต่หลังจากนั้นพ.ศ. 2352 พม่ามาอีกเป็นศึกถลางยก 2 คราวนี้ตีแตกแพ้ราบคาบจนเป็นเมืองร้างไป (หลังจากนี้พม่าเกิดวิกฤติในประเทศหลายทางแล้วตกเป็นเมืองขึ้นอังกฤษอ่ะนะ)
ย่านเมืองเก่าภูเก็ต
ย่านเมืองเก่านี้สร้างเมื่อสมัย พ.ศ.2446 ที่เรียกว่าศิลปะแบบชิโนโปรตุกีส ตัวเมืองเก่ามีให้ชมหลายถนน แต่ที่ไปก็เดินมั่วอ่ะนะ กินอิ่ม เดินเที่ยวนิดนึง แล้วกลับไปนอน เส้นทางเดินมั่วก็จากโรงแรมลามูนรีโซเทล (ภุเก็ตรีโซเทล) ไปถนนดีบุก-ถนนภูเก็ต-ถนนพังงา-ถนนเยาวราช-ถนนถลาง-กลับมาถนนภุเก็ตย้อนทางเดิมแล้วกลับไปนอน
แต่เส้นทางเดินมั่วนั่นก็แค่ส่วนเล็กๆของเมืองเก่าภุเก็ตแห่งนี้ หากต้องการมากกว่านี้ถนนไหนมีอะไรบ้างไปทางนี้เลยครับ ส่วนแผนที่ทางเวบนี้ใส่มาเยอะดี ลองเข้าไปดูครับ
วันที่ 3 วันสิ้นปี 2557
เริ่มเข้าเมืองภุเก็ต เป้าหมายแรกและที่ต้องแวะให้ได้ในการมาทริปภาคใต้ครั้งนี้คือ “พิพิธภัณฑ์เปลือกหอยภุเก็ต” แต่ตื่นมาพร้อมเที่ยวก็ 7 โมงกว่า เลยไปเที่ยวที่นี่ก่อน
วัดฉลอง (วัดไชยธาราม)
วัดนี้ทีแรกอยู่นอกแผนเที่ยวที่พี่วางไว้ (เพราะชอบไปแต่วัดเก่า) แต่ผมว่าเคยมีอยู่ในแบบเรียนตอน “พระครูวัดฉลอง” อยู่น้า และแม่ก็สนับสนุนว่าน่าแวะ ว่าแล้วก้ไปเที่ยวที่นี่แหล่ะ ตัววัดก็เหมือนวัดสมัยใหม่วัดหนึ่งที่มีการวางผังและเงินถึง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของวัดนี้คือ หลวงพ่อแช่ม ที่มีวีรกรรมเรื่องการปราบ “อั้งยี่”
ราวปี พ.ศ.2419 อย่างที่ทราบกันว่าภุเก็ตนี้โด่งดังเรื่องเหมืองแร่จนมีคนงานนับหมื่นมาทำงานในภูเก็ตและเกิดการซ่องสุมกำลังโจร พอมีพวกมากเข้าก็ฮึกเหิมเกิดกำลังเข้ายึดครอง และปกครองภูเก็ต ด้วยข้ออ้างเดิมๆว่าระบบราชการมันล้มเหลว เราจะมาปฏิรูปเพื่อปกครองเมืองภูเก็ตแล้วชักชวนคนท้องถิ่นดั้งเดิมเข้าร่วมขับไล่ระบอบทุนนิยมชาวจีน ว่าแล้วก็บุกรุกไล่ปิดสถานที่ราชการ ฆ่าชาวบ้านกลางถนน เผาบ้านเผาเมืองจำนวนมาก ชาวบ้านก็ได้แต่หนีเข้าวัดเข้าป่า จนมายังวัดฉลองของหลวงพ่อแช่ม พวกโจรก็ไม่หยุดยั้งไล่ตามมา ชาวบ้านเตือนให้หลวงพ่อแช่มหนีออกไป แต่หลวงพ่อไม่ออกจะไม่ยอมทิ้งวัดไปไหน ชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงเกิดกำลังใจที่จะลุกขึ้นสู้โจรและชักชวนคนที่หนีเข้าป่ามาร่วมต่อสู้ด้วย โดยหลวงพ่อแช่มได้แจกผ้าประเจียดโพกหัวเป็นเครื่องคุ้มกันออกต่อต้านอั้งยี่จนได้รับชัยชนะ ทำให้ชาวบ้านเกิดกำลังใจกลับมายังเมืองภูเก็ตและพร้อมจะสู้ต่อต้านพวกอั้งยี่ และให้ผูกผ้าโพกหัวไว้เป็นเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านพวกอั้งยี่ พอพวกมากเข้าอั้งยี่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนหลง ร.5 ได้ยินวีรกรรมนี้จึงแต่งตั้งให้หลวงพ่อแช่มเป็นพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญานมุนี มีตำแหน่งเป็นสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต ซึ่งถือเป็นตำแหน่งสูงสุดของนักบวชในสมัยนั้น
อ้อ เรื่องเล่าอีกเรื่องของหลวงพ่อแช่มคือไม้เท้ารักษาฝี แตะปุ๊บฝีหาย ไม้เท้านี้เองที่มีในบทเรียนเล่าว่ามีหญิงสาวคนหนึ่ง เกิดปวดท้องจุดเสียดอย่างแรง กินยาอะไรก็ไม่ทุเลา จึงบนหลวงพ่อแช่มว่าถ้าหายจะเอาทองไปปิดปู๋ของหลวงพ่อ (การปิดทองหลวงพ่อทั้งที่มีชีวิตนี่ก็เริ่มมาจากกรมพระยาดำรงฯเอาทองไปปิดเข่าหลวงพ่อ) แล้วก็เกิดหายจริง แต่ก็ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงบนบานสารกล่าวได้ จึงปวดท้องอีกครั้งที่รุนแรงกว่าเดิม หลวงพ่อแช่มเลยแก้ปัญหาโดยนั่งทับไม้เท้าแล้วให้ปิดทองที่ไม้เท้าแทน จบเหอะ
พิพิธภัณฑ์เปลือกหอยภูเก็ต
ได้รู้จักกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็ตั้งแต่ตอนไปภูเก็ตครั้งแรกแล้วขับรถผ่าน ด้วยความที่ชอบเปลือกหอยมาตั้งแต่เด้กๆ พอเจอพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แล้วพ่อเลยแวะเข้าไปแบบไม่ลังเล สมัยนั้นค่าเข้า 200 บาทถึงว่าแพงเอาการสำหรับราคาเมื่อ13 ปีก่อน แต่เข้าไปแล้วไม่ผิดหวังครับ เยอะและหายากชนิดที่ พิพิธภัณฑ์เปลือกหอยกรุงเทพ ที่เปิดหลังเกือบ 10 ปี แต่ยังไม่ได้เสี้ยวของที่นี่เลย ใครไปภุเก็ตผมแนะนำว่า “ต้องแวะ” เลยครับ ยิ่งปัจจุบันไปมาล่าสุดค่าเข้าลดเหลือแค่ร้อยเดียว คุ้มค่าสุดๆ
ต่อจากนี้ก็รายการขับรถตะลอนเที่ยวเรื่อยเปื่อยช่วงเช้า สถานที่ที่แวะก็ความสวยงามตามธรรม คงไม่ต้องบรรยายอะรมากครับ ตอนนั้นก็พยายามเลี่ยงหาดป่าตองเพราะกลัวคนเยอะอีกนั่นแหล่ะ เริ่มออกเดินทางจากพิพิธภัณธ์ 11 โมง
แผนตอนมาก็ว่าอยากเก็บวิวพระอาทิตย์ตกดินที่แหลมพรหมเทพ แต่เจอเมื่อวานเข้าไปเปลี่ยนแผนโดยพลัน คิดว่าจะมาเก็บพระอาทิตย์สุดท้ายของปีที่แหลมนี้คงฝันหวานแน่ๆ ทั้งปริมาณคน ทั้งที่จอดรถ ทั้งพวกตั้งกล้องแช่เล็งเป็นชาติมาเป็นฝูงอีก ไม่ไหวแฮะ ไปตอนกลางวันนี่แหล่ะ
วัดพระทอง
หรืออีกชื่อชาวบ้านเรียกว่าวัดพระผุด ระวัติของที่นี่หาแล้วไม่เจอ เจอแต่เรื่องเล่า มีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกเล่าว่าชาวนาเลี้ยงควายแล้วผูกควายไว้ที่หลักดินหนึ่ง พอกลับไปบ้านลูกก็ป่วยตาย จะกลับไปจูงควาย ควายก็ตาย คืนนั้นเองก็ฝันเห็นว่าสาเหตุการตายมาจากการที่เอาควายไปผูกกับพระเกตุมาลาพระพุทธเจ้า ชาวบ้านได้ยินดังนั้นเลยจะไปขุดขึ้นมาบูชาแต่ไม่สำเร็จเพราะมีตัวแตนโผล่จากรูมาต่อย เรื่องถึงเจ้าเมืองจึงสั่งเอาหลังคามาครอบไว้พอ เวลาผ่านไปมีชีปะขาวคนหนึ่งมาพบจึงสั่งให้เอาเปลือกหอยมาเผาทำปูนขาวปิดไว้
อีกเรื่องเล่าหนึ่งพระผุดช่วยชาติ เมื่อพ.ศ. 2328 สมัย ร.1 พม่าบุกมา เจอมดกัดจากรูนี้ จึงแค้นไปขุดขึ้นมาจนได้ตามภาพ แต่รูนี้ก็ปล่อยมดมากัดพม่าตายหมดจนพ่ายแพ้หนีไป ต่อมาหลวงพ่อสิงห์ก็สั่งให้คนมาสร้างโบสถ์สร้างวิหาร และเอาทองมาหุ้มอย่างปัจจุบันนี่เอง พอตอน ร.6 มาเห็นถึงกับกล่าวชมว่า “เออมันกล้านะปั้นพระครึ่งเดียว” แล้วก็ตั้งให้ชื่อว่าวัดพระทอง
อ้อ อีกตำนานเขาบอกแต่ก่อนพระนี้ชื่อกิ้มมิ่นจ้อ เป็นพระทองของเมืองเซี่ยงไฮ้ สมัยก่อนชาวทิเบตไปตีเซี่ยงไฮ้แตก และยึดพระมาได้ ระหว่างขนส่งพระตกน้ำแล้วลอยมาเกยตื้นที่นี่…
ปล.จากนิทานทั้งสองเรื่อง อย่าถามความเห็นผมนะ หึหึหึ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติถลาง
พิพิธภัณฑ์ของเมืองภูเก็ตตอนแรกคิดว่ามีแต่วีรกรรมสองวีรสตรี แต่พอเข้าไปแล้วก็เยอะเกินคาด มีของโบราณจากตะกั่วป่าด้วย (พระเอกทั้งหลายของที่นี่มาจากเขานารายณ์ เมืองตะปั่วป่าโบราณ
ต่อจากนี้ก็เดินทางเรื่อยเปื่อยอีกครั้งครับ หาที่กินข้าวเย็นชมวิวพระอาทิตย์สุดท้ายของปีตกดิน คาดว่าฝั่งตะวันตกปลายเกาะคนคงแน่นแหง ทั้งแหลมพรหมเทพ ทั้งหาดต่างๆที่สวยและมีชื่อเสียงอีก เลยไปหาดฝั่งทางตะวันออกบ้าง โดยไปแถวสะพานหินเพราะเห็นว่าไม่ไกลมาก
พอไปถึงสะพานหินพบว่ามีจัดงานซุ้มของกินเยอะมาก น่าเดิน แต่รถมาจอดก็เยอะเช่นกันไปที่อื่นดีกว่า
ตอนนี้ก็ 4 โมงครึ่งแล้วจะหากินแถวไหนเพื่อจะให้ทันพระอาทิตย์ตกดินล่ะ ดูในแผนที่ที่เลยไปหน่อยก็ แหลมพันวาที่คาดว่ามีรีสอร์ทหรูแล้ว ข้างหน้าก็คงมีของกินเยอะแหล่ะ ว่าแล้วก็เปลี่ยนจุดหมายไปที่แหลมพันวาเลย
เที่ยวทั้งวัน ถึงโรงแรมอาบน้ำหัวถึงหมอนก็นอนหลับ แต่แล้ว “ปุ้ง” “ปุ้งๆๆ” จุดพลุปีใหม่ครับ ง่วงและขี้เกียจ พยายามข่มตานอน แต่ก็ไม่ไหว เพราะทางโรงแรมก็ร่วมฉลองด้วย (เป็นสิ่งที่ดีนะ) เอาเว้ย ไหนๆก็ฝืนหลับไม่ได้แล้ว ออกไปถ่ายพลุหน่อยละกัน
วันที่ 4 วันขึ้นปีใหม่ 2558
สวัสดีปีใหม่แล้ว ออกไปทำบุญร่วมกับชาวภูเก็ตก่อนเดินทางดีกว่า ไหนๆสวนสาธารณะที่เขาจัดงานก็อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมด้วย เดินไปใส่แล้วค่อยกลับมากินข้าวเช้า
เป้าหมายต่อไป “อ่าวพังงา” แต่ก่อนออกจากภูเก็ตติดใจป้ายบอกทางอันนี้ “ประตูเมือง” ก็เข้าใจว่าเป็นประตูเมืองโบราณพอเข้าไปก็พบอาคารใหม่ๆ ถามคนแถวนั้นเข้าบอกว่า ที่นี่แหล่ะประตูเมือง หรือ Phuket Gateway ศูนย์ข้อมูลของเมืองเป็นเหมือนศาลาต้อนรับแขกที่น่าจะแวะเข้ามาชมก่อนเข้าเมืองภูเก็ตครับ
ต่อจากนี้ก็มุ่งหน้าสู่อ่าวพังงา (ไม่ได้แวะตัวจังหวัด) ภูเก็ตไปมาแล้วก็สมชื่อไข่มุกอันดามันครับ สวยงามและมีเสน่ห์ ไม่ใช่เพียงเมืองริมทะเลที่มีจุดขายเป็นแค่ทะเลสวยๆ แต่หากมีประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมที่น่าดูชมด้วย
ถ้ามีโอกาสไปอีกอยากจะเก็บรูปให้ครบทุกหาดเลย
แถมครับ รูปเมื่อตอนไปภาคใต้ครั้งแรก ปี 2003 เมื่อ 12 ปีก่อน พ่อพาเที่ยวทั้งขับรถ ทั้งถ่ายรูป สมัยนั้นมาภาคใต้ก็ต้องมาภูเก็ตกับสงขลานี่ล่ะนะ
ส่วนนี่ก็เมื่อไปครั้งที่ 2 (ธ.ค. 03) กับ ครั้งที่ 3 (พ.ค. 05) สมัยนั้นพ่อขับรถ หยุดแค่ 3 วันก็ไปภาคใต้กันละ
Pingback: Travel Wish list ประเทศไทย | Log 2 Blog